ด่วน“สันธนะฯ”เดือด พาผู้ต้องหาคนสุดท้ายเข้ามอบตัวต่อคดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน อ้างเป็นตัวกลางกลับถูกอ้างหมายจับ

“สันธนะฯ” พาผู้ต้องหาคนสุดท้ายเข้ามอบตัวต่อคดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน อ้างเป็นตัวกลางกลับถูกอ้างหมายจับ

ด่วน“สันธนะฯ”เดือด พาผู้ต้องหาคนสุดท้ายเข้ามอบตัวต่อคดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน อ้างเป็นตัวกลางกลับถูกอ้างหมายจับ

วันที่ 24 ส.ค.64 เวลา 13.30 น.ที่ สน.ทองหล่อ : นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล พานายสมจิตต์ รัตนโชติพาณิชย์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.368/2564 ลงวันที่ 2 ส.ค.64 ในข้อหา “ข่มขืนใจ และร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร” ในคดีที่ร่วมกันอุ้มรีดเงินนักธุรกิจชาวไต้หวัน มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ

นายสันธนะ​ฯ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค.64 เวลาประมาณ 15.00 น. ในวันเกิดเหตุ ผู้ต้องหาที่ 1 คือ นายลูอีสฯ,ผู้ต้องหาที่ 2 นายเจอร์มี่ และนายไมค์ ได้ชักชวนนายวินเซนต์ฯ ผู้เสียหาย ไปรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภายในซอยสุมขุมวิท 36 เพื่อทวงเงินที่เคยร่วมลงทุนกับนายวินเซนฯ ไปก่อนหน้านี้จำนวน 3 ล้านดอลสหรัฐ โดยออกอุบายกับนายวินเซนฯ ว่ามีนักธุรกิจต้องการเจรจาร่วมลงทุนถุงมือยาง ซึ่งเมื่อผู้เสียหายมาถึงร้าน และรู้ความจริงว่าไม่ได้จะเจรจาเรื่องธุรกิจ ทำให้ผู้เสียหายรีบปฏิเสธว่า ไม่รู้เห็นเกี่ยวกับจำนวนเงินดังกล่าว ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 จึงเกิดความไม่พอใจ และลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และพาขึ้นรถเพื่อออกไปเจรจากันที่ร้านอาหารอีกแห่ง ทำให้เกิดภาพในลักษณะของการอุ้มเรียกค่าไถ่ ที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดของร้าน

ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1,ผู้ต้องหาที่ 2 และนายไมค์ฯ กำลังพานายวินเซนฯ ไปที่ร้านอาหารอีกร้าน ภายในซอยสุขุมวิท 24 ก็ได้มีการเจรจาและตกลงคืนเงินกันได้สำเร็จ ทำให้นายไมค์ฯ ซึ่งรู้จักตนโทรมาปรึกษาเรื่องดังกล่าวว่ามีการเจรจาขอคืนเงินจากนักธุรกิจ การเจรจาสำเร็จแต่มีการลงไม้ลงมือเล็กน้อย ควรจะทำอย่างไรดี ตนซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี กำลังเดินทางกลับ กทม. จึงได้แนะนำว่าให้ไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ทองหล่อ ไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งตนจะไปเป็นตัวกลางให้

นายสันธนะฯ กล่าวต่อว่า จึงได้สอบถามจนทราบว่าจะไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง จึงนัดหมายว่าตนจะไปที่ร้านดังกล่าว เมื่อไปถึงร้านตนก็ได้ให้คนสนิทเข้าไปแจ้งนายไมค์ฯ โดยที่ตนไม่ได้ลงจากรถ จากนั้นได้เดินทางมา สน.ทองหล่อ โดยให้นายวินเซนฯ ขึ้นรถของผู้ติดตาม เพื่อให้นายวินเซนฯรู้สึกปลอดภัยกว่าไปกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งขณะที่ขึ้นรถนายวินเซนฯ ก็เดินขึ้นมาบนรถเอง ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด เมื่อมาถึง สน.ทองหล่อ ก็ทำการลงบันทึกประจำวันตามปกติ โดยมีพนักงานสอบสวนสอบปากคำ และนายวินเซนฯ ก็เป็นผู้ให้ปากคำ

แต่ในสำนวนที่ออกหมายจับกล่าวหาว่าตนมีส่วนรู้เห็นเป็นผู้สั่งการ โดยนำภาพกล้องวงจรปิดที่ หน้า สน.ทองหล่อ ไปเป็นหลักฐานออกหมายจับตน โดยอ้างว่าตนอุ้มนายวินเซนฯ เข้าไปพูดคุยใน สน.ทองหล่อ ถามว่าในความเป็นจริงมันเป็นไปได้ไหมที่จะอุ้มคน คนหนึ่งเข้า สน.ฯ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใน สน.ฯ ไม่ดำเนินการอะไร นอกจากนี้ในสำนวนยังบอกว่าเห็นตนที่ร้านอาหาร ก่อนที่จะมา สน.ทองหล่อ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะตนไม่ได้ลงจากรถเลย และฟิล์มกระจกรถก็มืดมากไม่มีทางที่จะมองเห็นตนอย่างแน่นอน ส่วนนายสมจินฯ ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัว ในวันเกิดเหตุนายสมจินฯ เพียงแค่เปิดประตูรถให้นายวินเซนฯ ขึ้นไปนั่งก่อนพาตัวมาที่ สน.ฯ ไม่ได้มีการข่มขู่ หรืออุ้มขึ้นรถตามที่ถูกกล่าวอ้าง

 

ทั้งนี้ตนเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มีการทำเป็นขบวนการ เนื่องจากตนมีหลักฐานเป็นคลิปเสียงจำนวน 2 คลิป ซึ่งในคลิปเสียงมีบุคคล คนหนึ่งที่อ้างชื่อว่าเป็นนายศิริชัย ปิยะพิเชษฐกุล ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายให้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยนายศิริชัยฯ ได้พูดคุยกับผู้ต้องหาในคดีว่ามีการสั่งการให้ดำเนินคดีกับนายสันธนะ​ฯ นอกจากนี้นายศิริชัยฯ ยังพูดโอ้อวดว่าเป็นผู้ที่จัดการ และดำเนินคดีกับนายสันธนะฯ ได้สำเร็จ

หลังจากนี้ก่อนวันที่ 30 กันยายน 2564 ตนจะดำเนินการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ตั้งแต่ระดับ สน.ฯ ถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ตนยังทราบมาว่าคนสนิทของนายศิริชัยฯ ที่ชื่อแคลรอลฯ ได้โทรศัพท์ไปหาผู้ต้องหาต่างชาติในคดีนี้ เพื่อเรียกเงินจำนวน 6 ล้านบาท แลกกับการไม่สั่งฟ้องคดี

Back To Top